วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ทำไม งาดำ...ทานแล้วระคายคอ?

เป็นที่รู้กันดีว่า งาดำ เป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยอะมิโนจำเป็น , แคลเซี่ยม , เมไธโอนีน  ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย  จึงเป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน




แต่เราควรเลือกซื้องงาดำอย่างไร  จึง ได้ผลดีอย่างที่ร่างกายต้องการ??

มาทำความรู้จักกันอีกนิด
งาดำที่เราซื้อมารับประทาน  แน่นอนเมล็ดมันเป็นสีดำ  และได้ผ่านกระบวนการทำให้สุกพร้อมรับประทาน  คือการผ่านความร้อน  คำถามคือ  ทำไมบางยี่ห้อทานแล้วคันคอมีอาการไอ
เหตุผลเพราะในระหว่างผ่านความร้อน ผิวสีดำของงาดำได้เกิดการหลุดร่อนออกบางส่วน ปะปนเป็นผงคาร์บอนอยู่กับเมล็ดงาดำที่สุก  เนื่องจากฝุ่นผงเหล่านี้เป็นสีเดียวกับเมล็ดงา จึงปะปนทำให้ไม่สังเกตุเห็น  เมื่อเวลาเราตักมารับประทาน  เราจึงทานงาดำผสมฝุ่นผงไปด้วย ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  และไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายต้องการ   เราจึงมีอาการไอและระคายคอ  หากงาดำเหล่านั้นไม่ผ่านการทำความสะอาดหลังงาดำสุกที่ดีพอ








อีกคำถามที่พบบ่อยไม่แพ้กัน  ทำไมบ้างครั้งทานงาดำแล้วรู้สึกเหม็นสาป???

เนื่องจากงาดำเป็นพืชที่มีเมล็ดอยู่ในฝัก   การปลูกและการเก็บเกี่ยว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเศษดิน , เศษกิ่งก้าน, หรือฝักปะปนมาด้วย  และการเก็บรักษางาดิบมักเก็บในโกดังก่อนนำมาผลิตอย่างน้อย 2-3 เดือน

ฉะนั้นหากผู้ผลิตไม่นำมาล้างและขัดอย่างพิถีพิถันและ  งาดำที่เราซื้อมาทานจะมีเศษดินปนออยู่  และมีกลิ่นสาปจากการเก็บรักษา

เหตุผลนี้เองเราจึงควรเลือกงาดำที่พิถีพิถันจริงๆในการผลิต  เพื่อเราจากได้คุณค่าทางอาหารของงาดำอย่างแท้จริง






ธัญพืชพลังธรรมชาติ

ในสมัยที่บ้านเรา (​ เมืองไทย ) ยังไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพกันสักเท่าไหร่

จุดเริ่มต้นเล็กๆของธุรกิจครอบครัว  เริ่มจากปี พ.ศ. 2528
คุณแม่สุวนีย์  เลิศคูพินิจ  ขณะนั้นยังเป็นสมุบัญชีของบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง  ได้มีโอกาสไปเดินงานเกษตรแฟร์กับเพื่อน  ระหว่างเดินดูต้นไม้ จึงซื้อเมล็ดทานตะวันอบมาเดินไปชมงานไป  ด้วยความเพลิดเพลินกับความกรุบกรอบของเมล็ดทานตะวัน

ประกอบกับการเป็นลูกคนจีนได้ถูกฝึกนิสัยค้าขายมาแต่เด็ก  จึงเกิดไอเดียว่า "น่าจะรับมาขาย"
จึงเดินกลับไปเพื่อติดต่อขอซื้อมาขายต่อ





ในระยะแรกรับมาครั้งละ 5  กิโล  มาบรรจุถุงพลาสติกใส ใช้เทียนรนปิดปากถุง  เอาเศษสติกเกอร์ขาวที่เหลือจากเทปคลาสเส็ทมาใส่เครืองพิมพ์ดีด  พิมพ์คำว่า " เมล็ดทานตะวันอบ " โดยมีลูกเล็กๆ 2 คนเป็นลูกมือช่วยกันทำตอนกลางคืนก่อนนอน

รุ่งเช้าก็หิ้วไปขายตามร้านค้าแถวบ้าน  เมื่อได้เงินมาก็นำไปจ่ายค่าเมล็ดทานตะวัน  และสั่งซื้อในชุดต่อไป  จนเพื่อนคุณสุวนีย์ บอกว่าน่าจะมียี่ห้อนะคนจะได้เรียกถูก

จึงได้ไปขอชื่อจากพระโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก ( ซึ่งเป็นชุมชนที่เราอยู่ )
ได้ชื่อมาว่า "ธัญพืชพลังธรรมชาติ" และเพื่อนคุณสุวนีย์ก็ออกแบบโลโก้ให้ฟรี  ต้องขอบคุณ คุณชาญ  สุธาราพงศ์ 







จวบจนปัจจุบัน จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ กลายเป็นธุรกิจครอบครัวอายุ 30  ปี  ในปี 2558
ได้มีผลิตภัณฑ์ 10 กว่ารายการ  แต่ยังคงคอนเซ็ปเดิม คือ ผลิตในครัวเรื่อน และทำใหม่สดทุกวัน
เพื่อมาตราฐานความใหม่ สด  และสะอาด  คือสิ่งที่เรายึดถือและปฏิบัติมาตลอด 30 ปี